ขณะนี้คุณกำลังอ่าน:
รีไฟแนนซ์สถานประกอบการ ต้องเริ่มอย่างไร
คุณกำลังอยู่ที่ กลุ่มลูกค้าธุรกิจ


ขณะนี้คุณกำลังอ่าน:
รีไฟแนนซ์สถานประกอบการ ต้องเริ่มอย่างไร
ในการดำเนินธุรกิจของสถานประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า โรงงาน หรือธุรกิจ SME ที่อาจต้องเผชิญกับภาระหนี้สินที่เกิดจากการลงทุน การขยายกิจการ หรือการบริหารต้นทุนในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน โดยเฉพาะหนี้สินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง หรือมีเงื่อนไขการชำระเงินที่ไม่สอดคล้องกับกระแสเงินสดของกิจการซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการดำเนินงานและการวางแผนทางการเงินในระยะยาว ในสถานการณ์เช่นนี้ การรีไฟแนนซ์สถานประกอบการจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เจ้าของธุรกิจสามารถนำมาพิจารณาได้ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมกับสภาพคล่องของกิจการ ลดภาระดอกเบี้ย และเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การรีไฟแนนซ์สถานประกอบการ คือ กระบวนการในการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขของเงินกู้เดิมที่ธุรกิจเคยทำไว้ โดยการขอสินเชื่อใหม่จากธนาคารหรือสถาบันการเงินเพื่อนำไปชำระหนี้สินเดิมที่ยังคงค้างอยู่ จุดประสงค์หลักของการรีไฟแนนซ์อาจเป็นการลดอัตราดอกเบี้ย ขยายระยะเวลาการผ่อนชำระ หรือเพิ่มวงเงินสินเชื่อให้เพียงพอกับการขยายกิจการ ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ธุรกิจมีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม และสามารถบริหารกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การรีไฟแนนซ์สถานประกอบการ ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการเงินที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกิจต้องรับมือกับภาระดอกเบี้ยสูง หรือเงื่อนไขการชำระหนี้ที่ไม่เหมาะสมกับสภาพคล่องของกิจการ การรีไฟแนนซ์ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนทางการเงิน แต่ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการหนี้สิน และเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ต่อไปนี้คือประโยชน์หลักๆ ที่ผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจจะได้รับจากการรีไฟแนนซ์สถานประกอบการ
หากธุรกิจมีภาระหนี้เดิมที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง การรีไฟแนนซ์สามารถช่วยลดต้นทุนทางการเงินโดยรวมได้อย่างมีนัยสำคัญ การย้ายหนี้ไปยังธนาคารใหม่ที่เสนออัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า ส่งผลให้ยอดชำระดอกเบี้ยรวมตลอดอายุเงินกู้ลดลง ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิของกิจการ และลดแรงกดดันทางการเงินในระยะยาว นอกจากนี้การลดอัตราดอกเบี้ยยังช่วยให้ธุรกิจสามารถนำเงินที่ประหยัดได้ไปใช้ในด้านอื่นๆ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด หรือการขยายฐานลูกค้า
การรีไฟแนนซ์เปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถเจรจาขยายระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้ได้ซึ่งจะช่วยให้ค่างวดรายเดือนลดลง ส่งผลให้กิจการมีความคล่องตัวมากขึ้นในการบริหารกระแสเงินสด สำหรับสถานประกอบการที่มีรายได้ไม่สม่ำเสมอ เช่น ธุรกิจตามฤดูกาล การขยายระยะเวลาชำระหนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องในช่วงที่รายได้ต่ำ และสามารถจัดสรรเงินทุนไปใช้ในส่วนที่จำเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในบางกรณี การรีไฟแนนซ์สามารถขอวงเงินเพิ่มเติมจากธนาคารใหม่ได้โดยใช้หลักทรัพย์เดิม เช่น อาคาร ที่ดิน หรือเครื่องจักรเป็นหลักประกัน วงเงินที่เพิ่มขึ้นนี้สามารถนำไปใช้เสริมสภาพคล่องของกิจการ เช่น หมุนเวียนทุน ปรับปรุงระบบการผลิต หรือขยายตลาด การมีเงินทุนหมุนเวียนที่เพียงพอจะช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองต่อโอกาสทางการตลาดได้รวดเร็วขึ้น และลดความจำเป็นในการพึ่งพาแหล่งเงินทุนฉุกเฉินที่อาจมีต้นทุนทางการเงินที่สูงกว่าว
เมื่อธุรกิจได้รับการรีไฟแนนซ์ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม และสามารถชำระหนี้ตามกำหนดอย่างสม่ำเสมอจะช่วยสร้างประวัติเครดิตที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขอสินเชื่อในอนาคต เครดิตที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติวงเงินที่มากขึ้น หรืออาจได้รับเงื่อนไขที่ดีกว่าเดิม เช่น ดอกเบี้ยต่ำลง หรือระยะเวลาผ่อนชำระที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนขยายกิจการในระยะยาว
แม้ว่าการรีไฟแนนซ์สถานประกอบการจะมีข้อดีหลายประการ แต่ผู้ประกอบการควรพิจารณาเงื่อนไขของสินเชื่อใหม่อย่างรอบคอบ เช่น อัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมการดำเนินการ และผลกระทบต่อกระแสเงินสด เพื่อให้มั่นใจว่าการรีไฟแนนซ์จะส่งผลดีต่อธุรกิจในระยะยาว
การปรับโครงสร้างหนี้ผ่านการรีไฟแนนซ์สถานประกอบการเป็นทางเลือกที่มีความสำคัญในหลายกรณี โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจต้องการรักษาสภาพคล่อง ลดภาระทางการเงิน หรือเตรียมพร้อมสำหรับการขยายกิจการในอนาคต ตัวอย่างสถานการณ์ต่อไปนี้เป็นกรณีที่ผู้ประกอบการควรพิจารณาการรีไฟแนนซ์ อย่างรอบคอบ
หากสินเชื่อเดิมมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยในตลาด เช่น เดิมอยู่ที่ 8% แต่ปัจจุบันมีข้อเสนอที่ต่ำกว่า เช่น 5–6% การรีไฟแนนซ์สามารถช่วยลดภาระดอกเบี้ยได้ทันที ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินลดลง และสามารถนำส่วนต่างไปใช้ในกิจกรรมที่สร้างผลตอบแทนสูงกว่า เช่น การตลาดหรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์
เมื่อธุรกิจมีรายรับไม่แน่นอน ยอดขายลดลง หรือค่าใช้จ่ายคงที่สูง การรีไฟแนนซ์เพื่อลดค่างวดรายเดือน หรือขยายระยะเวลาชำระคืน จะช่วยให้มีเงินสดหมุนเวียนมากขึ้น ซึ่งจำเป็นต่อการรักษากิจการให้ดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคง และลดความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่อง
ธุรกิจอาจเผชิญกับรายได้ที่ผันผวน หรือมีความจำเป็นในการเสริมความคล่องตัว การรีไฟแนนซ์ช่วยให้สามารถปรับเงื่อนไขการชำระคืน เช่น เปลี่ยนจากงวดคงที่เป็นแบบลดต้นลดดอก หรือขอระยะเวลาผ่อนปรนในช่วงต้นเพื่อให้เหมาะกับสภาพของกิจการในช่วงเวลานั้น และลดแรงกดดันทางการเงินในระยะสั้น
หากมีแผนขยายกิจการ เช่น เปิดสาขาใหม่ ลงทุนในเครื่องจักร หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ การรีไฟแนนซ์ร่วมกับการขอวงเงินเพิ่มสามารถช่วยระดมทุนได้โดยไม่ต้องพึ่งนักลงทุนภายนอก ซึ่งอาจทำให้สูญเสียความเป็นเจ้าของกิจการบางส่วน การรีไฟแนนซ์จึงเป็นทางเลือกที่ช่วยรักษาอำนาจในการบริหารธุรกิจไว้ได้
ก่อนดำเนินการรีไฟแนนซ์สถานประกอบการ ผู้ประกอบการควรประเมินความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์และการเงินอย่างรอบด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าการรีไฟแนนซ์จะช่วยลดต้นทุน และสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจได้จริง โดยสามารถพิจารณาได้จากปัจจัยหลักต่อไปนี้
การเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญ ควรพิจารณาทั้งแบบคงที่ (Fixed Rate) และแบบลอยตัว (Floating Rate) รวมถึงเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง เช่น ระยะเวลาคงอัตรา และเกณฑ์การปรับอัตรา
ตัวอย่างเช่น หากดอกเบี้ยเดิมอยู่ที่ 7% ต่อปี และข้อเสนอใหม่อยู่ที่ 5% ต่อปี ในวงเงินเท่าเดิม ธุรกิจอาจประหยัดดอกเบี้ยได้หลายแสนบาทต่อปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยอดหนี้คงค้าง
แม้อัตราดอกเบี้ยจะลดลง แต่หากมีการขยายระยะเวลาผ่อนชำระ อาจส่งผลให้ยอดชำระรายเดือนเปลี่ยนแปลง ผู้ประกอบการควรวิเคราะห์ผลกระทบต่อกระแสเงินสด เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถรับภาระในแต่ละงวดได้โดยไม่กระทบต่อสภาพคล่องของกิจการ
การพิจารณาเฉพาะยอดผ่อนหรือดอกเบี้ยไม่เพียงพอ ต้องวิเคราะห์ต้นทุนรวมตลอดอายุสัญญา โดยรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด เช่น ดอกเบี้ยรวม ค่าธรรมเนียม ค่าประเมินทรัพย์สิน ค่าจดจำนองใหม่ และค่าปรับจากธนาคารเดิม (ถ้ามี)
การรีไฟแนนซ์สถานประกอบการมักมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้น เช่น ค่าธรรมเนียมการดำเนินการ ค่าปรับจากการปิดบัญชีเดิมก่อนกำหนด และค่าประเมินหลักประกันใหม่ ซึ่งอาจรวมเป็นจำนวนเงินที่มากพอสมควร ดังนั้นก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์ ผู้ประกอบการควรคำนวณว่าต้องใช้เวลากี่เดือนหรือปีที่ผลประหยัดจากดอกเบี้ยใหม่จะคืนทุน หรือคุ้มกับค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไปในการรีไฟแนนซ์
ตัวอย่างเช่น หากค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์รวมทั้งหมดอยู่ที่ 150,000 บาท และการลดดอกเบี้ยช่วยให้ธุรกิจประหยัดเงินได้เดือนละ 25,000 บาท เท่ากับว่าธุรกิจจะคืนทุนภายใน 6 เดือน หากระยะเวลาคืนทุนสั้นและคุ้มค่า การรีไฟแนนซ์ก็อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม

การรีไฟแนนซ์สถานประกอบการไม่ใช่แค่การลดดอกเบี้ยหรือเปลี่ยนผู้ให้สินเชื่อเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสถานะทางการเงินของธุรกิจในระยะยาว โดยมีขั้นตอนสำคัญดังนี้
เริ่มต้นด้วยการประเมินรายรับ รายจ่าย กระแสเงินสด และหนี้สิน เพื่อดูว่าธุรกิจมีความสามารถในการชำระหนี้เพียงใด การจัดเตรียมเอกสาร เช่น งบการเงิน งบดุล และรายงานบัญชี จะช่วยให้การรีไฟแนนซ์มีข้อมูลประกอบที่ชัดเจน
เมื่อเข้าใจสถานะทางการเงินแล้ว ควรกำหนดวัตถุประสงค์ของการรีไฟแนนซ์ให้ชัดเจน เช่น ลดภาระดอกเบี้ย ลดค่างวดรายเดือน ขอวงเงินเพิ่มเติมเพื่อขยายกิจการ รวมสินเชื่อหลายรายการให้เป็นหนึ่งเดียว การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้เลือกผลิตภัณฑ์สินเชื่อได้ตรงจุด และเจรจาเงื่อนไขกับธนาคารหรือสถาบันการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เตรียมเอกสารให้ครบ เช่น งบการเงินย้อนหลัง สัญญาเงินกู้เดิม เอกสารทรัพย์สินที่ใช้ค้ำประกัน และใบทะเบียนการค้า การนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นระบบจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในการขอสินเชื่อใหม่
เปรียบเทียบข้อเสนอจากหลายธนาคารหรือหลายสถาบันการเงิน ทั้งอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระ และค่าธรรมเนียมต่างๆ พร้อมขอประเมินมูลค่าทรัพย์สินที่ใช้ค้ำประกันเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ
เมื่อธนาคารหรือสถาบันการเงินอนุมัติสินเชื่อใหม่แล้ว ผู้ประกอบการจะต้องนำวงเงินที่ได้รับไปชำระหนี้เดิมให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งขั้นตอนนี้อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าปรับจากการปิดบัญชีก่อนกำหนด ค่าธรรมเนียมการจดจำนองใหม่ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดหรือภาระทางการเงินที่ไม่คาดคิด ผู้ประกอบการควรตรวจสอบรายละเอียดในสัญญาอย่างรอบคอบก่อนลงนาม โดยเฉพาะเงื่อนไขเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและข้อผูกพันต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อธุรกิจในระยะยาว
หลังจากดำเนินการรีไฟแนนซ์เรียบร้อยแล้ว ผู้ประกอบการควรชำระหนี้ตามกำหนดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาประวัติเครดิตของกิจการให้ดี ซึ่งจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือทางการเงิน และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอนาคตด้วยเงื่อนไขที่ดีกว่า เช่น อัตราดอกเบี้ยต่ำลง หรือวงเงินสูงขึ้น
✓ ตรวจสอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดอย่างละเอียด ก่อนรีไฟแนนซ์ควรพิจารณาค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าปรับปิดบัญชีเดิม ค่าประเมินทรัพย์สิน และค่าดำเนินการสินเชื่อใหม่ การรวมค่าใช้จ่ายเหล่านี้ในการคำนวณจะช่วยให้เห็นภาพรวมว่าการรีไฟแนนซ์คุ้มค่าจริงหรือไม่
✓ วางแผนชำระหนี้ตามความสามารถของกิจการ แม้การรีไฟแนนซ์จะช่วยลดค่างวดหรือขยายระยะเวลาผ่อนชำระ แต่ควรประเมินกระแสเงินสดและความสามารถในการชำระหนี้ภายใต้เงื่อนไขใหม่อย่างรอบคอบ เพื่อให้การจัดการหนี้เป็นไปอย่างยั่งยืน และไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต
✓ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน หากไม่มีประสบการณ์ในการวิเคราะห์สินเชื่อ การปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินหรือเจ้าหน้าที่ธนาคารที่เชี่ยวชาญ จะช่วยให้เข้าใจผลกระทบทางการเงิน และพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจ
UOB BizProperty บริการสินเชื่อเพื่อลงทุนในการซื้อหรือรีไฟแนนซ์สถานประกอบการทั้งสินเชื่อระยะสั้นและระยาว โดยใช้สถานประกอบการเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน วงเงินสูงสุดถึง 40 ล้านบาท หรือสูงสุด 100% ของราคาประเมินหลักทรัพย์ ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 30 ปี เหมาะสำหรับผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจ SME ที่ต้องการลดต้นทุน เพิ่มสภาพคล่อง และปรับโครงสร้างทางการเงินให้เหมาะสมกับการเติบโตในระยะยาว
การรีไฟแนนซ์สถานประกอบการไม่ใช่เพียงการลดภาระหนี้ในระยะสั้น แต่เป็นกลยุทธ์ทางการเงินที่ช่วยวางรากฐานให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว หากผู้ประกอบการเข้าใจกระบวนการ ประเมินความคุ้มค่าอย่างรอบด้าน และเลือกสถาบันการเงินที่เหมาะสม การรีไฟแนนซ์ที่วางแผนดีอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เสริมเสถียรภาพทางการเงิน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของกิจการได้อย่างแท้จริง
ข้อมูลอ้างอิง