You are now reading:
เข้าใจราคาประเมินและ LTV ก่อนขอสินเชื่อบ้าน
แค่ฝากเงิน ฟรีประกัน 7 โรคมะเร็งในผู้หญิง รับความคุ้มครองทุกระยะ ตั้งแต่ตรวจพบ เจอ-จ่าย-จบ สูงสุด 2 ล้านบาท
รายละเอียดลงทุนในกองทุน United CIO Income Fund และ United CIO Growth Fund บริหารกองทุนโดย Chief Investment Officer จาก UOB Private Bank
เพิ่มเติมคุณกำลังอยู่ที่ ลูกค้าบุคคลทั่วไป
You are now reading:
เข้าใจราคาประเมินและ LTV ก่อนขอสินเชื่อบ้าน
การซื้อบ้านคือหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของชีวิต แต่เมื่อถึงขั้นตอนการขอสินเชื่อ หลายคนกลับมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยเฉพาะเรื่อง “วงเงินกู้” ที่ธนาคารจะอนุมัติ ซึ่งอาจไม่ตรงกับราคาที่ผู้ขายตั้งไว้ หรือราคาที่ผู้ซื้อคาดหวังไว้ สิ่งสำคัญที่หลายคนมองข้ามคือ ราคาประเมิน ซึ่งเป็นตัวแปรหลักที่ธนาคารใช้ในการกำหนดวงเงินกู้ ไม่ใช่ราคาขายบ้าน และไม่ใช่ราคาที่ผู้ซื้ออยากได้
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจหลักการพิจารณาวงเงินกู้ของสินเชื่อบ้าน โดยแฝงความรู้เรื่องราคาประเมิน และเน้นการกู้อย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อไม่ให้เป็นภาระในอนาคต
วงเงินกู้ คือจำนวนเงินสูงสุดที่ธนาคารอนุมัติให้คุณกู้เพื่อซื้อบ้าน โดยพิจารณาจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น
- ราคาประเมินของบ้าน/คอนโด
- อัตราส่วน LTV (Loan-to-Value)
- รายได้และภาระหนี้ของผู้กู้
- ประวัติทางการเงินและเครดิตสกอร์
วงเงินกู้จึงไม่ใช่ตัวเลขที่คุณสามารถกำหนดเองได้ แต่เป็นผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้และมูลค่าทรัพย์ที่ธนาคารยอมรับ
ธนาคารจะใช้สูตรและเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อคำนวณวงเงินกู้
วิธีนี้เป็นการคำนวณแบบคร่าว ๆ โดยยังไม่รวมอัตราดอกเบี้ย ซึ่งในความเป็นจริง
ธนาคารจะใช้สูตรทางการเงินที่รวมดอกเบี้ย เพื่อคำนวณวงเงินกู้ที่แท้จริง และยังพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น อายุผู้กู้, ภาระหนี้อื่น ๆ , ประวัติเครดิต, ประเภทสินเชื่อ ฯลฯ
ราคาประเมิน คือมูลค่าที่ธนาคารยอมรับว่าทรัพย์นั้นมีจริงในตลาด โดยไม่อิงจากราคาขายที่ผู้ขายตั้งไว้ หากราคาประเมินต่ำกว่าราคาขาย ผู้กู้ต้องจ่ายส่วนต่างเอง
ตัวอย่าง:
- ราคาขายบ้าน = 3,000,000 บาท
- ราคาประเมิน = 2,500,000 บาท
- LTV = 90% → วงเงินกู้สูงสุด = 2,250,000 บาท
- ส่วนต่างที่ต้องจ่ายเอง = 750,000 บาท
ดังนั้น การเข้าใจราคาประเมินจึงสำคัญมาก เพราะเป็น “ฐาน” ที่ธนาคารใช้ในการคำนวณวงเงินกู้
การประเมินราคาทรัพย์ไม่ใช่การคาดเดา แต่เป็นกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ โดยฝ่ายประเมินของธนาคารจะพิจารณาจากหลายองค์ประกอบที่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์นั้น ๆ ได้แก่
1. ทำเลที่ตั้ง
ทำเลเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการประเมินมูลค่าทรัพย์ บ้านที่อยู่ในพื้นที่ที่มีการพัฒนา เช่น ใกล้รถไฟฟ้า ทางด่วน แหล่งงาน หรือศูนย์กลางธุรกิจ จะมีราคาประเมินสูงกว่าบ้านในพื้นที่ห่างไกลหรือไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก
2. สภาพแวดล้อมและความปลอดภัย
พื้นที่ที่มีความเงียบสงบ ปลอดภัย และมีชุมชนที่ดี จะส่งผลให้บ้านมีมูลค่าสูงขึ้น เพราะเป็นปัจจัยที่ผู้ซื้อให้ความสำคัญในการอยู่อาศัยระยะยาว
3. สาธารณูปโภคและสาธารณูปการ
การเข้าถึงไฟฟ้า น้ำประปา อินเทอร์เน็ต ถนนสาธารณะ ระบบขนส่งสาธารณะ รวมถึงบริการสาธารณะ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า ล้วนเป็นตัวเสริมมูลค่าทรัพย์ เพราะสะท้อนถึงคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย
4. อายุอาคารและวัสดุก่อสร้าง
บ้านที่สร้างใหม่หรือมีการดูแลรักษาอย่างดี จะได้รับการประเมินมูลค่าสูงกว่าบ้านที่มีอายุเก่าและทรุดโทรม วัสดุก่อสร้างที่ใช้ เช่น โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือวัสดุคุณภาพสูง ก็มีผลต่อราคาประเมินเช่นกัน
5. เนื้อที่และพื้นที่ใช้สอย
ขนาดของที่ดิน (ตร.ว.) และพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน (ตร.ม.) เป็นปัจจัยเชิงปริมาณที่มีผลโดยตรงต่อราคาประเมิน โดยเฉพาะหากมีการออกแบบพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น มีห้องนอนหลายห้อง หรือพื้นที่ใช้สอยที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย
6. สภาพและการตกแต่ง
บ้านที่ตกแต่งพร้อมอยู่ ใช้วัสดุคุณภาพดี และมีการดูแลรักษาอย่างดี จะได้รับการประเมินมูลค่าสูงกว่า เพราะลดภาระในการปรับปรุงของผู้ซื้อ
7. ข้อมูลตลาดเปรียบเทียบ (Comparable Market Data)
ฝ่ายประเมินจะใช้ข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อเปรียบเทียบกับทรัพย์ที่กำลังประเมิน เช่น
ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้การประเมินมีความแม่นยำและสะท้อนราคาตลาดจริงในช่วงเวลานั้น
การได้รับวงเงินกู้ที่ “เหมาะสม” ไม่ใช่เรื่องเสียเปรียบ แต่คือการวางแผนชีวิตอย่างมีสติ และเป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ซึ่งมีเหตุผลสำคัญหลายประการ
1. ลดความเสี่ยงในการเป็นหนี้เกินตัว
การกู้เกินความจำเป็นอาจทำให้คุณต้องแบกรับภาระหนี้ที่สูงเกินไป ส่งผลให้รายได้ส่วนใหญ่ต้องนำไปใช้ในการผ่อนชำระ ทำให้ขาดสภาพคล่อง และอาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงิน เช่น การผิดนัดชำระหนี้ หรือการต้องกู้เพิ่มเพื่อหมุนเงิน
2. วางแผนการเงินได้ง่ายขึ้น
เมื่อคุณกู้ในวงเงินที่เหมาะสม คุณจะสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดสรรเงินสำหรับค่าใช้จ่ายรายเดือน เงินออมฉุกเฉิน หรือการลงทุนในอนาคต โดยไม่ต้องกังวลกับภาระหนี้ที่มากเกินไป
3. เพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อ
ธนาคารจะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้เป็นหลัก หากคุณขอวงเงินกู้ที่สอดคล้องกับรายได้และภาระหนี้ที่มีอยู่ โอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อก็จะสูงขึ้น และอาจได้รับเงื่อนไขที่ดีกว่า เช่น ระยะเวลาผ่อนที่ยืดหยุ่น
4. ไม่เป็นภาระในอนาคต
การกู้เท่าที่จำเป็นช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นทางการเงินในระยะยาว หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น รายได้ลดลง เจ็บป่วย หรือมีค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน คุณจะยังสามารถรับมือได้โดยไม่ต้องกังวลกับภาระหนี้ที่หนักเกินไป
การเข้าใจ “ราคาประเมิน” และ “วงเงินกู้” จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความคลาดเคลื่อนระหว่างความคาดหวังกับสิ่งที่เป็นไปได้จริง
- ราคาประเมินเป็นข้อมูลสำคัญที่ธนาคารใช้เป็นฐานในการพิจารณาสินเชื่อ ซึ่งอาจแตกต่างจากราคาที่คุณตั้งใจไว้
- วงเงินกู้ที่ได้รับ จะขึ้นอยู่กับราคาประเมินและความสามารถในการชำระหนี้
- การได้รับวงเงินที่เหมาะสมกับสถานะทางการเงิน เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้คุณบริหารชีวิตทางการเงินได้อย่างมั่นคง และไม่เป็นภาระในระยะยาว
หากคุณสนใจสินเชื่อบ้านจากธนาคารยูโอบี สามารถกรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับได้ที่นี่ หรือสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินเชื่อบ้าน โทร. 0-2093-2030
ข้อมูลอ้างอิง