ข้อควรรู้ ก่อนซื้อประกันสุขภาพในปี 2024

ในปัจจุบันความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยจากโรคภัยต่างๆ นั้นเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งโรคภัยที่มาจากมลภาวะและสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ การเตรียมตัวเพื่อให้พร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม การมีหลักประกันที่ช่วยดูแลความปกติสุขของชีวิตอย่างเช่น “ประกันสุขภาพ” จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ดีเมื่อเกิดการเจ็บป่วยทั่วไป รวมถึงการเจ็บป่วยจากโรคร้ายแรงได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังสามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพมาใช้ลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย สำหรับใครที่กำลังเลือกหาประกันสุขภาพเพื่อความคุ้มครองยามเจ็บไข้ฉุกเฉินห้ามพลาด เราจะพามาทำความรู้จักกับ 9 ข้อที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพ พร้อมแนะนำประกันสุขภาพตัวที่น่าสนใจมาฝากกัน

ข้อควรรู้ก่อนซื้อประกันสุขภาพ อัปเดตล่าสุดปี 2024

ประกันสุขภาพคืออะไร คุ้มครองอย่างไรบ้าง
ประกันสุขภาพ (Health Insurance) คือ ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองด้านค่าใช้จ่าย ค่ารักษาพยาบาลต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ว่าจะเป็นอาการป่วยเล็กน้อยทั่วไปที่พบแพทย์แล้วกลับบ้าน หรือเจ็บป่วยหนักจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน ตลอดไปจนถึงโรคร้ายแรงต่างๆ
ซื้อประกันสุขภาพในปี 2024 ต้องดูอะไรบ้าง
- ความคุ้มครอง ก่อนซื้อประกันสุขภาพเราควรศึกษาแผนคุ้มครองอย่างถี่ถ้วนว่าจะได้รับความคุ้มครองจนถึงอายุเท่าใด ใช้สิทธิ์ได้ที่ใด และมีข้อยกเว้นความคุ้มครองใดบ้าง โดยควรพิจารณาร่วมกับงบประมาณและสวัสดิการอื่นๆ ที่เรามีอยู่แล้วด้วย เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเรามีความสามารถจ่ในการจ่ายเบี้ยประกันได้ในระยะยาวโดยที่ไม่เป็นภาระที่หนักจนเกินไป
- ค่ารักษา (IPD/OPD) ค่ารักษาพยาบาลควรคุ้มครองครอบคลุมทั้งกรณีที่เป็นผู้ป่วยนอก (Out-Patient Department: OPD) และผู้ป่วยใน (In-Patient Department: IPD) เพราะเราไม่สามารถคาดเดาอาการเจ็บป่วยในอนาคตได้ การเลือกประกันสุขภาพที่ครอบคลุมจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าโดยไม่ต้องกังวลถึงค่าเสียโอกาสต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างการรักษาตัว
- ค่าใช้จ่ายอื่นๆ การพิจารณาประกันสุขภาพให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่นอกเหนือจากค่ารักษา เช่น ค่ายา ค่าห้อง ค่าแพทย์ เป็นต้น จะช่วยแบ่งเบาภาระของเราได้เป็นอย่างมากในระยะยาว
ประกันสุขภาพเหมาจ่ายคืออะไร
ประกันสุขภาพเหมาจ่าย คือ ประกันสุขภาพที่กำหนดวงเงินค่ารักษาพยาบาลแบบเหมารวมต่อปี โดยไม่แยกเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ในแต่ละครั้ง ซึ่งภายใน 1 ปี สามารถเข้ารับการรักษากี่ครั้งก็ได้ ทางบริษัทประกันก็จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ตามจริง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความคุ้มครองแบบครอบคลุมทั้งการรักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD) โดยที่ไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่ายต่างๆ เพราะประกันครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลไว้ให้ทั้งหมด แต่ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายต้องไม่เกินจำนวนวงเงินและเป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด
ประกันสุขภาพ OPD คืออะไร
ประกันสุขภาพ OPD (Out-Patient Department) คือ ประกันที่จะคุ้มครองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยนอกที่ไม่ต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล โดยปกติมักจะเป็นการไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการเพื่อวินิจฉัยโรค รับการรักษาและรับยากลับบ้าน โดยค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยนอกจะอยู่ในรูปแบบค่าปรึกษาแพทย์ ค่ารักษาพยาบาล และค่ายา เป็นต้น ในขณะที่ประกัน IPD จะดูแลค่ารักษาพยาบาลของผู้ป่วยใน โดยจะต้องเป็นผู้ป่วยที่ต้องอยู่โรงพยาบาลเกินกว่า 6 ชั่วโมง ไม่สามารถกลับบ้านได้เลยหลังการวินิจฉัยของแพทย์
ผู้สูงอายุทำประกันสุขภาพได้หรือไม่
ผู้สูงอายุสามารถทำประกันสุขภาพได้หรือไม่จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและข้อกำหนดของแต่ละแผนประกัน ซึ่งส่วนมากประกันสุขภาพจะเริ่มต้นได้ตั้งแต่อายุ 1 เดือน ไปจนถึงอายุ 70 ปี โดยหากเลือกทำประกันในช่วงอายุ 60 - 70 ปี ผู้เอาประกันจะได้รับความคุ้มครองจนถึงอายุ 80 - 90 ปี อย่างไรก็ตามในบางกรณีอาจมีเงื่อนไขด้านสุขภาพเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น หากผู้สูงอายุมีโรคประจำตัวบางอย่างก็อาจทำให้ไม่สามารถซื้อประกันได้
ประกันสุขภาพจ่ายรายเดือนได้หรือไม่
การจ่ายเบี้ยประกันนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระเบี้ยประกันของผู้ซื้อ ซึ่งสามารถเลือกจ่ายเป็นรายเดือน หรือรายปีก็ได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของบริษัทประกันนั้นๆ โดยทั่วไปการจ่ายเบี้ยประกันในปีแรกควรจ่ายเป็นรายปีก่อน หากต้องการจ่ายรายเดือนในปีต่อๆ ไปก็สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการและความเหมาะสมของแต่ละคนได้ ที่สำคัญค่าเบี้ยประกันต่อปีไม่ควรเกิน 15%-20% ของรายได้ต่อปี เพื่อไม่ให้เป็นภาระที่หนักจนเกินไปในอนาคต
ประกันสุขภาพต้องตรวจสุขภาพหรือไม่
โดยส่วนมากแล้วหากผู้เอาประกันสุขภาพร่างกายแข็งแรงปกติดี ไม่มีประวัติโรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรัง และไม่เคยป่วยด้วยโรคติดต่อร้ายแรงใดๆ มาก่อน ประกอบกับอายุยังอยู่ในเกณฑ์เงื่อนไข ก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพก่อนทำประกัน แต่ทั้งนี้หากผู้เอาประกันมีประวัติสุขภาพที่มีความเสี่ยงสูง ทางตัวแทนประกันจะสอบถามและเก็บข้อมูลเพื่อนำไปพิจารณาต่อโดยไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพเพิ่มเติม ทั้งนี้ในประกันสุขภาพบางตัวที่ครอบคลุมการดูแลผู้สูงอายุ ก็มักจะไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพและไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพก่อนทำประกันเช่นกัน
ซื้อประกันสุขภาพแล้วจะได้รับการคุ้มครองทันทีหรือไม่
เมื่อซื้อประกันสุขภาพแล้วจะยังไม่ได้รับการคุ้มครองทันที เนื่องจากประกันสุขภาพทุกฉบับจะมี “ระยะเวลารอคอย” (Waiting Period) จากนั้นจึงจะสามารถเริ่มเคลมประกันได้ ซึ่งโดยปกติแล้วจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลาตามการคุ้มครอง คือ โรคทั่วไป มีระยะเวลารอคอย 30 วัน นับตั้งแต่วันที่กรมธรรม์มีผลบังคับ และโรคร้ายแรงมีระยะเวลารอคอยอยู่ที่ 90 วัน นับตั้งแต่วันที่กรมธรรม์มีผลบังคับ
ประกันสุขภาพลดหย่อนภาษีได้หรือไม่
ผู้ที่ทำประกันสุขภาพให้กับตัวเอง สามารถนำเบี้ยไปหักลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท นอกจากประกันสุขภาพของตนเองแล้ว ยังมีเบี้ยประกันสุขภาพของพ่อแม่ หรือคู่สมรสที่สามารถลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน ซึ่งจะหักตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกินคนละ 15,000 บาท โดยประกันสุขภาพที่อยู่ในเงื่อนไขที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ มี 4 ประเภท ดังนี้
- การประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอันเกิดจากการเจ็บป่วยและการบาดเจ็บ การชดเชยการทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะ เนื่องจากอาการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ
- การประกันภัยอุบัติเหตุเฉพาะที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลการทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะ และการแตกหักของกระดูก
- การประกันภัยโรคร้ายแรง เช่น ประกันโรคมะเร็ง
- การประกันภัยการดูแลระยะยาว

แนะนำประกันสุขภาพที่น่าสนใจ ประกันสุขภาพออนไลน์จากธนาคารยูโอบี (UOB) คุ้มค่า ครอบคลุมครบ ดูแลได้หมดทุกโรคร้ายแรง

ประกันสุขภาพออนไลน์จากธนาคารยูโอบี คุ้มครองครอบคลุมโรคร้ายแรง เจอจ่ายจบได้รับเงินชดเชยทันที เบี้ยประกันสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ สมัครง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ เพียงตอบคำถามง่ายๆ ไม่กี่ข้อ พร้อมหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชน

แนะนำประกันสุขภาพออนไลน์จากธนาคารยูโอบี (UOB) คุ้มค่า ครอบคลุมครบ ดูแลได้หมดทุกโรคร้ายแรง

UOB Major 4 ประกันโรคร้าย

คุ้มครอง 4 โรคร้ายที่พบบ่อย ได้แก่ โรคหัวใจวายเฉียบพลัน โรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน โรคไตวายเรื้อรัง และเจ็บป่วยภาวะโคม่า พร้อมคุ้มครองชีวิต รับเงินก้อนทันทีเมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคร้ายแรงสูงสุด 1 ล้านบาท*